หมูดีมีมาตรฐานกับราคาที่ต้องจ่าย

โดย ดร.สุวรรณา สายรวมญาติ

ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ท่ามกลางความวิตกกังวลที่มีต่อการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างรวดเร็วในระลอกที่ 3 ทำให้ทุกคนต้องเพิ่มมาตรการป้องกันตัวเองแบบตั้งการ์ดให้มั่น ไม่ต่างกับผู้เลี้ยงสุกรที่ต้องตั้งการ์ดระบบความปลอดภัยทางชีวภาพ (Bio-Security) เพื่อป้องกันการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หรือ ASF ที่ตอนนี้สร้างความเสียหายให้หลายฟาร์มอย่างฉับพลัน แม้ว่ากรมปศุสัตว์พยายามสร้างความมั่นใจว่าปัจจุบันประเทศไทยปลอด ASF แต่ผู้ประกอบการฟาร์มหมูหลายรายไม่เชื่อเช่นนั้น

 

ปัจจุบันหลายฟาร์มได้ยกระดับมาตรการตั้งการ์ดของฟาร์มสุกรอย่างเข้มข้นทั้งฟาร์มเล็กฟาร์มใหญ่  หากพบอาการป่วยผิดปกติในสุกรแม้เพียงสองสามตัวหลายฟาร์มก็ตัดสินใจตัดตอนโดยการจำหน่ายสุกรทั้งโรงเรือนก่อนเวลาที่ควรจะเป็น หลายฟาร์มเร่งจำหน่ายสุกรขุนมีชีวิตเร็วกว่าปกติโดยจำหน่ายที่น้ำหนักประมาณ 90 กิโลกรัม/ตัว ซึ่งเดิมทีจำหน่ายที่ประมาณ 100 กิโลกรัม/ตัว หลายฟาร์มหยุดเลี้ยง หยุดซื้อสุกรเข้า จนทำให้ตอนนี้ปริมาณสุกรของไทยทั่วประเทศลดลงจำนวนมากและลดลงอย่างรวดเร็ว และคาดการณ์ได้ไม่ยากนักว่าราคาหมูที่เราซื้อกินกันจะแพงขึ้นอีกในอนาคตอันใกล้

 

แม้ว่าในขณะนี้ราคาเนื้อสุกรที่จำหน่ายตามท้องตลาดยังไม่ปรับราคาขึ้น เนื่องจากผู้แปรรูปรวมถึงโรงเชือดได้เก็บสต๊อกหมูที่มีการเทขายในช่วงก่อนหน้านี้เต็มห้องเย็น และสามารถทยอยออกจำหน่ายสู่ผู้บริโภคได้ในระยะหนึ่ง หากฟาร์มหมูไม่สามารถผลิตสุกรเข้ามาเพิ่มเติมได้ก่อนที่สต๊อกจะหมด ราคาเนื้อหมูจะปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งหวังว่าฟาร์มหมูที่เหลืออยู่จะสามารถดูแลฟาร์มได้อย่างเข้มข้น และสามารถกลับมาผลิตสุกรขุนมีชีวิตเข้าสู่ตลาดได้ในเร็ววัน หากไม่เช่นนั้น เราอาจจะได้เห็นราคาหมูปรับตัวสูงขึ้นดังเช่นประเทศจีนที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 300 บาท ซึ่งส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลจีนก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เหตุเพราะวัคซีนสำหรับ ASF ยังไม่สำเร็จ ซึ่งวงการหมูทั่วโลกก็ตั้งตารอความสำเร็จของวัคซีนกันอย่างใจจดใจจ่อ

 

ไม่ได้มีเพียงโรค ASF ที่ต้องเฝ้าระวัง ประเทศร้อนชื้นอย่างไทยเรายังมี PRRS โรคปากเท้าเปื่อย และโรคอื่นๆ รวมถึงโรคอุบัติใหม่จากเชื้อไวรัสที่จะกลายพันธุ์ เกิดขึ้นมารบกวนสุขภาพสัตว์ เป็นอุปสรรคสำคัญของฟาร์มสุกร ผู้ที่ต้องการอยู่รอดจึงต้องลงทุนวางระบบป้องกันโรคอย่างเข้มงวด เพื่อรักษาอาชีพ รักษางาน รักษารายได้ที่จะเลี้ยงครอบครัวรวมถึงลูกน้องที่ดูแลกันมานาน และที่สำคัญที่สุดคือการผลิตอาหารปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค

 

 “ต้นทุนการดูแลหมูให้ดี”  เป็นต้นทุนที่สูงมากเพื่อผลิตหมูปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ที่แข็งแรง การสร้างโรงเรือนระบบปิด การเลือกใช้อาหารที่ถูกสุขลักษณะ รวมถึงระบบป้องกันโรคที่ต้องเข้มงวดทั้งกับสัตว์และแรงงานในฟาร์ม รวมถึงรถขนส่งต่าง ๆ ที่ต้องมีการฆ่าเชื้อ ทั้งรถทั้งคน สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนฟาร์มที่ได้มาตรฐานต้องจ่ายเพื่อผลิตหมูที่ดีมีมาตรฐาน เห็นได้จากราคาหมูแบรนด์ใหญ่ที่มีราคาแพงกว่าหมูเขียงในตลาดทั่วไป

 

ล่าสุดกรมปศุสัตว์พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสโดยการยกระดับฟาร์มสุกรเข้าสู่การเป็น “ฟาร์มมาตรฐาน” ด้วยคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร มีมติเห็นชอบให้ฟาร์มสุกรขนาด 500 ตัวขึ้นไป ต้องเข้าสู่ มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) สำหรับฟาร์มสุกร (มกษ. 6403)  โดยระบุเป็น “มาตรฐานบังคับ”  ให้ทุกฟาร์มต้องทำ จะไม่ใช่มาตรฐานสมัครใจอีกต่อไป

ฟาร์มสุกรปริมาณ 500 ตัวนี้ ปัจจุบันถือเป็นเกษตรกรรายเล็กที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ มีอยู่ราว 1.6 แสนรายที่จะต้องยกระดับมาตรฐานการผลิต โดยมีขอบข่ายการบังคับใช้และระยะเวลาปรับเปลี่ยนเป็น 2 ระยะ แตกต่างกันตามขนาดการเลี้ยงสุกร ดังนี้

1.) สุกรขุนตั้งแต่ 1,500 ตัว ขึ้นไป หรือ สุกรแม่พันธุ์ ตั้งแต่ 120 ตัวขึ้นไป ระยะเวลาปรับเปลี่ยน 180 วัน

2.) สุกรขุนตั้งแต่ 500–1,499 ตัว หรือ สุกรแม่พันธุ์ ตั้งแต่ 95 – 119 ตัว ระยะเวลาปรับเปลี่ยนไม่เกิน 3 เดือน

 

ฟาร์มทั้งหมดจะต้องลงทุนยกระดับมาตรฐานฟาร์ม ซึ่งล้วนเป็นต้นทุนที่เกษตรกรทุกฟาร์มต้องแบกรับ และจากนี้ไปภายใน 3 เดือน เป็นช่วงเวลาสำคัญของการยกระดับวงการหมูท่ามกลางวิกฤติรอบด้าน

 

ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ การทำฟาร์มให้ได้มาตรฐานมีต้นทุน และต้นทุนเหล่านั้นมากจนทำให้หลายฟาร์มตัดสินใจเลิกกิจการในคราวนี้ หลังจากนี้ฟาร์มอิสระจะลดลงจากเดิมอย่างมาก ฟาร์มที่ตัดสินใจดำเนินกิจการต่อต้องปรับตัวให้เป็นฟาร์มมาตรฐาน นั่นหมายถึงต้นทุนการผลิตเนื้อหมูให้ผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น

 

ความหวังของฟาร์มหมูอิสระจึงตกอยู่กับการตัดสินใจผู้บริโภค ผู้ที่จะชี้ชะตาฟาร์มหมูไทยว่า จะเลือกซื้อเนื้อเนื้อหมูของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีมาตรฐาน มีแบรนด์ มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว หรือจะเลือกหมูทั่วไปจากฟาร์มรายเล็ก รายกลาง ที่ยังต้องใช้เวลาในการยกระดับมาตรฐานฟาร์มตามที่กรมปศุสัตว์กำหนด … ผู้บริโภคจะเลือกอย่างไร?

 

ที่แน่ ๆ เราต้องอยู่กับราคาเนื้อหมูแพงแบบนี้กันไปอีกเป็นปี จนกว่าจะได้วัคซีน ASF ที่ชาวหมูเฝ้ารอ

ภาพโดย Photo by Cindie Hansen on Unsplash

Leave a Reply