ราคาหมูหน้าฟาร์มลงแล้ว…ทำไมเรายังต้องซื้อหมูแพง?
ราคาหมูหน้าฟาร์มลงแล้ว แต่ทำไมเรายังกินหมูแพง
หากเข้าไปดูประกาศของสมาคมผู้เลี้ยงสุกรจะพบว่า ราคาหมูขุนหน้าฟาร์ม ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 ซื้อขาย 72-77 บาท/กิโลกรัม [1] ราคาเนื้อแดงหน้าเขียงก็ควรจะอยู่ที่ 144-154 บาท เหตุไฉนราคาที่เราซื้อยังเกิน 160 บาท???
สิ่งที่คนเลี้ยงหมูต้องเผชิญกันจนชินชา
หมูแพงร้องดัง หมูถูกไม่มีใครสนใจ ไม่สนใจจนเจ๊ง…เลิกเลี้ยงหมูกันไปไม่น้อย
ปริมาณหมูเมืองไทยเพิ่มขึ้นมาต่อหลังจากภาวะการตกต่ำของราคาในปี 2550 ฟาร์มขนาดเล็กลดจำนวนลงอย่างมากเนื่องจากไม่สามารถเอาตัวรอดได้ ขณะที่ฟาร์มขนาดกลางที่เอาตัวรอดมาได้ ก็มีการขยายตัวมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปี 2559 ที่ปริมาณหมูเยอะจนทำให้ราคาลดลงต่อเนื่องจนถึงปี 2562
ฟาร์มที่ประคองตัวให้รอดมาได้ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้อานิสงค์ของการระบาดของโรคไข้หวัดแอฟริกา (African Swine Fever: ASF) ที่ระบาดอย่างรุนแรงในจีน เวียดนาม ลาว เมียนมาร์ และกัมพูชา รุนแรงขนาดที่ทำให้ราคาเนื้อหมูในประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้แพงเกิน 300 บาท/กิโลกรัม
เมื่อประเทศเพื่อนบ้านไม่มีหมู ขณะที่หมูไทยยังมี หมูไทยจึงได้มีโอกาสส่งออกบ้าง หลังจากที่รอคอยมานาน
แต่ผลอีกด้านของการส่งออกก็คือ คนไทยต้องกินหมูแพงเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ช่วงที่หมูแพงมากคือ เดือนกรกฎาคม – เดือนตุลาคม กรมการค้าภายในตรึงราคาหมูไว้ที่ 160 บาท โดยราคาหน้าฟาร์มมีการซื้อขายไม่เกิน 80 บาท/กิโลกรัม แต่ในบางพื้นที่ราคาก็ซื้อขายจริงก็ขยับขึ้นไปถึง 88 บาท/กิโลกรัม
นับเป็นเวลา 4 เดือน ที่หมูไทยทรงตัวในราคาแพง
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่คนเลี้ยงถูกโจมตีอย่างหนัก เพราะเขียงหมูปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นจนทำให้กรมการค้าภายในออกมาควบคุมราคาเพื่อไม่ให้บรรเทาค่าครองชีพของผู้บริโภคดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
ช่วงที่หมูแพง มีพฤติกรรมหลายอย่างเกิดขึ้น เขียงหมูปรับเพิ่มราคาขายปลีกเนื้อหมูและชิ้นส่วน ร้านอาหารจำนวนไม่น้อยปรับเพิ่มราคาเมนูอาหารที่ใช้หมู หรือบางร้านก็ลดปริมาณหมูลงโดยไม่ปรับราคา มีเหตุการณ์หนึ่งเราจำได้แม่น ช่วงนั้นเราซื้อราดหน้าราคา 25 บาท กินหมูไปสามคำ ทั้งชามเหลือแต่เส้น!!!
หลายคนคิดว่าเป็นจังหวะโกยของฟาร์มหมู…ไม่เลยสักนิด เรียกว่าช่วง 4 เดือนที่ราคาแพง เป็นช่วงที่หลายฟาร์มได้น้ำเลี้ยงมารักษาแผลจากการขาดทุนในก่อนหน้านั้น เดือนเมษายน – เดือนพฤษภาคม 2563 ราคาขายหน้าฟาร์มอยู่ที่ 60-65 บาท…เดาไม่ยาก ขาดทุนยับ
ที่มา: สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย (2563), สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (2563), สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ (2563)
โดยเฉลี่ยปี 2563 เลี้ยงหมูขุน 1 ตัว ฟาร์มจะมีกำไรประมาณ 500 บาท/ตัว แต่เลี้ยงประมาณ 4 – 5 เดือน คิดเฉลี่ยกำไรเดือนละ 100 บาท/ตัว ถ้าหมูเกิดเสียหายตายระหว่างทาง นอกจากกำไรจะหายแล้ว ยังมีต้นทุนที่จ่ายโดยไม่ได้อะไรคืนด้วย
ช่วงที่ราคาหมูหน้าฟาร์มปรับตัวลดลง ผู้แปรรูปที่มีห้องเย็นไม่ว่าจะเป็น เขียงหมู ผู้ผลิตหมูหยอง กุนเชียง หรือผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากหมูทั้งหมาย แทบไม่รู้จักคำว่าขาดทุนในช่วงที่หมูแพง
เพราะผู้แปรรูปกลุ่มนี้จะลงทุนซื้อหมูเข้าห้องเย็นเพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงที่หมูมีราคาแพง โดยจะกดราคารับซื้อหมูหน้าฟาร์มลงกว่าราคาประกาศ บีบให้ผู้เลี้ยงต้องขาย หากไม่ขายแล้วราคาปรับตัวลดลงก็จะขาดทุน เพราะต้องไม่ลืมว่า หมูกินทุกวัน หากไม่ขายหมู ก็ยังต้องเลี้ยง ต้องให้อาหาร นั่นคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นหากไม่รีบตัดสินใจขาย
ด้วยอำนาจซื้อของผู้แปรรูปปลายทางที่เป็นมีอำนาจในการรับซื้อหมูมีชีวิต และกำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภค ทำให้ผู้แปรรูปสามารถจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนได้ดีกว่าคนเลี้ยงหมู
ว่ากันตรง ๆ ผู้แปรรูปเหล่านี้ แทบไม่รู้จักคำว่าขาดทุนในช่วงที่หมูแพง เพียงแค่ได้กำไรน้อยกว่าเคยเท่านั้นเอง ราคาที่ปรับขึ้นจากข้ออ้างว่าหมูแพง แต่พอหมูลงราคา ราคาผลิตภัณฑ์ก็หาได้ลงราคาตาม!!!
ในภาวะที่ราคาหมูปรับตัวลง จึงมักลงอย่างรวดเร็ว ต่างจากช่วงราคาปรับขึ้นที่จะค่อยๆปรับ ช่างต่างกันเหลือเกิน
เดือนก่อนหมูแพง…มาเดือนนี้…หมูถูกแล้ว ลงมาเกือบ 10 บาท/กิโลกรัม แล้วผู้บริโภคอย่างเรายังต้องซื้อเนื้อหมูแพงอยู่อีกหรือไม่???
เมื่อเราไปตลาดจึงพบว่า ราคาเนื้อหมูหน้าเขียงมีการปรับตัวลดลง แต่…ทำไมปรับลงน้อยจัง
จากข้อมูลของตลาดนัดเกษตรไพรซ์ (kasetprice.com) ราคาขายปลีกเนื้อหมูต่อกิโลกรัม ณ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 [2]
- เนื้อแดง 145 บาท
- สะโพกหมู 143 บาท
- สันใน 150 บาท
- สันนอก 160 บาท
- สันนอก 160 บาท
- สามชั้น 180 บาท
แพงสุดต้องยกให้สามชั้น 180 บาท/กิโลกรัม!!!
ตลาดสดบางแห่งราคาอาจสูงกว่านี้ เขียงบางแห่งก็ใจดี ปรับราคาเนื้อแดงขายส่งลงมา แต่ร้านขายปลีกก็ยังคงขายราคาในระดับสูงกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะชิ้นส่วนที่ตลาดต้องการ เช่น สามชั้น เนื่องจากเมนูสารพัดหมูกรอบ เป็นเมนูที่ร้านอาหารตามสั่งทุกร้านต้องมี ราคาสามชั้นจึงยังคงตัวในระดับสูง
ราคาซื้อขายหมูหน้าฟาร์มจะมีการประกาศราคากันทุกสัปดาห์ตามวันพระ โดยราคาจะถูกกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานของตลาด ช่วงไหนหมูมีมากเกินราคาจะปรับลง ช่วงไหนหมูขาด ราคาก็จะปรับตัวขึ้น ว่ากันเป็นรายสัปดาห์!!!
แต่ราคาหน้าเขียง หาได้ปรับตัวตามหน้าฟาร์มอย่างที่ควรจะเป็น
ราคาอาหารเมนูหมู ปรับราคาลงสักบาทหรือไม่
หมูในจานเพิ่มขึ้นสักชิ้นหรือเปล่า!!!
อย่างที่เอ่ยไปตอนต้น หมูแพงร้องดัง…แต่หมูถูกไม่มีใครสนใจ
ราคาขายเนื้อหมูที่ผู้บริโภคต้องจ่ายจึงมีราคาพรีเมียมแถมให้เสมอ ซึ่งเป็นหน้าที่กรมการค้าภายในที่ต้องตรวจตราให้ราคาขายเนื้อหมูสอดคล้องกับราคาหน้าฟาร์มให้มากที่สุด
ราคาหน้าฟาร์มปรับตัวลงมาแล้ว…ปรับตามกลไกตลาด โดยไม่ต้องใช้มาตรการแทรกแซงให้เสียงบประมาณ
ขอให้ผู้บริโภคอย่างได้โทษคนเลี้ยงหมูว่าเป็นต้นเหตุที่ต้องกินหมูแพงในตอนนี้
เพราะคนเลี้ยงหมูไม่ได้เป็นผู้กำหนดราคาขายเนื้อหมูให้ท่าน
คนเลี้ยงหมูอยากเป็นแค่คนเลี้ยง ไม่ได้อยากตกเป็นจำเลย
เรื่องหมูๆ ที่ไม่หมู คำนี้ยังใช้ได้ดีเสมอ
เรื่องโดย ดร.สุวรรณา สายรวมญาติ
ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ที่มา
[1] https://www.swinethailand.com
[2] kasetprice.com