อาหารสิ้นคิดเบอร์หนึ่ง

ภาพจาก http://orataiyanoo.blogspot.com/2017/04/blog-post_10.html เมื่อพูดถึงอาหารสิ้นคิด ผัดกะเพรา ไข่เจียว ข้าวเหนียวหมูปิ้ง หนึ่งในสามเมนูนี้ มักจะเป็นเมนูแรกๆที่หลายคนเอ่ยถึง คำถามคือทำไมเราถึงนึกเมนูนี้ได้เป็นเมนูแรกๆอาจเรียกได้ว่าหลุดออกมาจากปากโดยที่เรายังไม่ได้คิดด้วยซ้ำ การตัดสินใจนี้ผ่านการคิดแบบอัตโนมัติ ซึ่งรวดเร็ว ฉับไว และเป็นไปโดยสัญชาตญาณ ซึ่งไม่ต้องอาศัยการคิดมากมายอะไร นั่นหมายถึงว่าการเลือกเมนูที่จัดอยู่ในกลุ่มอาหารสิ้นคิด เช่น ข้าวผัดกะเพราะไก่ไข่ดาว แทบจะไม่ต่างอะไรกับการเลือกเมนูโปรด โดยเฉพาะช่วงเวลาเร่งรีบที่ต้องแข่งกับเวลาอย่างมื้อกลางวัน หากจะแตกต่างอย่างมากกับการเลือกเมนูในมื้อเย็นที่มีเวลามากขึ้นในการคิดและตัดสินใจ และจะยิ่งต้องคิดมากขึ้นอาหารมื้อนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เราคนเดียว

กินเนื้อวัวไทยกันเถอะ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสายเนื้อในเมืองไทยได้ลิ้มลองเนื้อที่มีรสชาติไม่แพ้เนื้อที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทุกคนให้ความเห็นเหมือนกันว่าเนื้อวัวไทยพัฒนาไปมาก ไม่เหนียวเหมือนแต่ก่อน มีเนื้อไขมันแทรกสัญชาติไทยให้ได้ลิ้มลองเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากตลอดระยะเวลาเกือบทศวรรษที่ผ่านมา เกษตรกร นักวิจัย และหน่วยงานภาครัฐ ได้จับมือกันร่วมวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อเพื่อยกระดับคุณภาพเนื้อไทยให้สามารถแข่งขันกับเนื้อนำเข้า ซึ่งกำลังจะลดภาษีนำเข้าเหลือร้อยละ 0 ในปี 2563 ผลประโยชน์จึงตกอยู่ที่ผู้บริโภคที่สามารถบริโภคเนื้อนำเข้าในราคาที่ถูกลงในอนาคต สำหรับสายเนื้อแล้ว การได้ลิ้มรสเนื้อที่มีไขมันแทรก ถือเป็นสิ่งที่ถวิลหา หากแต่กระบวนการกว่าจะได้เนื้อที่มีคุณสมบัติแบบ A5 นั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่ญี่ปุ่นที่เป็นต้นตำรับเนื้อประดับนี้ก็ตาม.

“กิน” การให้ความสุขที่ต้องคิด

“ไปกินของอร่อยๆกัน” มักจะเป็นวลีที่ถูกเปร่งออกมาโดยอัตโนมัติ เมื่อเราหรือคนสำคัญของเราทำอะไรสำเร็จดังเป้าที่ตั้งไว้ การกินถือเป็นการให้รางวัลตัวเองที่ง่ายและเร็วที่สุดทางหนึ่ง และเรามักจะกินเยอะมากกว่าซะด้วยเมื่อเรามีความสุขและการเฉลิมฉลอง หากใครที่กำลังควบคุมน้ำหนัก ก็จะมีเหตุผลสำหรับการฉลองนี้ว่า “มื้อเดียวเอง พรุ่งนี้ค่อยลด” ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเปรียบเปรยที่ว่า “วันที่ออกกำลังกายมากที่สุดคือ วันพรุ่งนี้” คนจำนวนไม่น้อยให้ความสุขกับปัจจุบันมากกว่าความมีสุขภาพดีในอนาคต ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผล จงไม่แปลกที่จำนวนของคนที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะโรคอ้วนมีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจำนวนผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มโรค NCDs มากขึ้นเช่นกัน นักเศรษฐศาสตร์อธิบายเหตุการณ์ที่เราให้ความสำคัญกับการกินมากกว่าสุขภาพในอนาคตนี้ผ่านแนวคิดของTime preferences

คนรอบข้างน้ันสำคัญ

ลดน้ำหนัก ไม่ง่ายเลยสำหรับใครหลายๆคน ประเทศไทยเดินมาถึงจุดที่มีสัดส่วนประชากรที่มีภาวะน้ำหนักเกินและภาวะโรคอ้วนสูงถึงร้อยละ30ของประชากรทั้งหมด เพิ่มขึ้นอย่างเนื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา(เมื่อประมาณ 30 ปีก่อนคนไทยประมาณร้อยละ50 มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่ามาตรฐาน) หากท่านผู้อ่านอยากทราบว่าตัวท่านเองนั้นอยู่ในระดับใด สามารถใช้การวัดดัชนีมวลกาย (Body Mass Index: BMI) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้โดยคำนวณจากน้ำหนักในหน่วยกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงในหน่วยเมตรยกกำลังสอง (กก./ม2) การเพิ่มขึ้นของประชากรไทยที่มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนนั้น เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณะสุขทั้งหมายต้องเร่งหาแนวทางป้องกัน เนื่องจากการมีน้ำหนักเกินกว่าปกติเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคที่เรียกว่าโรคกลุ่มNCDs ซึ่งย่อมาจาก Non-Communicable